อันเนื่องมาจาก iTunes ออกเวอร์ชันใหม่
พร้อมฟังก์ชันใหม่ล่าสุด PodCast ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ในฐานะสาวกซึ่งอาจเป็นหนึ่งในหน้าที่ที่ต้องเผยแผ่ลัทธิ
วันนี้ผมยังเชื่อมั่นมากว่าตอนนี้ iTunes ถือเป็นโปรแกรมเล่นเพลงที่เจ๋งที่สุดในใต้หล้า
กรุณาอ่าน Blog วันที่ 09 June ก่อน เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติม
http://spaces.msn.com/members/Noppon2005/Blog/cns!1p51z79EWPSld3xiAfck9T-A!157.entry
หลังจากที่มีเสียงตอบรับมาอย่างอบอุ่นจากผู้มีจิตกุศล
ซึ่งหลั่งไหลมาจากทั่วทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทางคุณยอร์ชได้ตระหนักถึงกระแสดังกล่าว
สบช่องทางอาศัยสิ่งที่เรียกว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก, น้ำมาป๋ากินหมด
จึงได้เพิ่มรุ่นของ Wristband ใหม่ขึ้นมา
เพื่อให้การกระจายตัวของสายรัดข้อมือรุ่นใหม่
เข้าถึงผู้บริโภคหลากประเภทจึงได้ผลิต Wristband
เพิ่มขึ้นถึง 4 รุ่นด้วยกัน
1. i Love You เพื่อจับกลุ่มเด็กขี้อายม้วนต้วน ที่ไม่กล้า
บอกรักหญิงสาวหรือชายหนุ่มที่ตนหมายปอง สามารถ
มอบ Wristband แทนความในใจได้ทันที สะดวกสบาย
ไม่ต้องพูดมาก ก็สื่อถึงกันได้อย่างมีความหมายลึกซึ้ง
2. ยืมตังค์หน่อย เพื่อจับกลุ่มเด็กยากไร้ หรือพยายามจะยากไร้
เพื่อให้การพูดคำพูดอันยากเย็นนี้ เป็นไปได้อย่างง่ายดาย
รวมทั้งทำให้โอกาสผิดใจกับเพื่อนน้อย เพราะเพื่อนจะรับทราบว่า
เราใจบุญ มีใจอันเป็นกุศลก่อน (จากการที่เราอุดหนุน Wristband)
หลังจากนั้นก็จะให้เรายืมตังค์อย่างง่ายดาย
3. Grand Sport เพื่อจับกลุ่มผู้ชอบเล่นกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ
เพื่อให้การผลิตครั้งนี้เป็นไปโดยมีการกุศลบังหน้า เอ้ย เป็นที่ตั้ง
ทางคุณยอร์ชจึงได้ติดต่อไปยัง Grand Sport
บริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดังเพื่อทำการขออนุญาต
ทำการผลิต Wristband รุ่นนี้ขึ้น โดยในส่วนค่าใช้จ่าย
ทาง Grand Sport จะรับผิดชอบส่วนของสาย
และทางมูลนิธิจะดูแลในส่วนขึ้นรูปเป็นเส้นโค้ง
รวมทั้งประชาสัมพันธ์เพื่อจำหน่ายต่อไป
4. TKS เพื่อจับกลุ่มข้าราชการพลเรือน
ซึ่งเป็นผู้ซึ่งห่างไกลกับเรื่องของ Wristband
ทางคุณยอร์ชจึงได้ทำการติดต่อไปยังบริษัท TKS
ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกระดาษต่อเนื่องรายใหญ่
เพื่อผลิตเป็น Wristband โดยมีคอนเซ็ปต์
เหมือนกับกรณีของ Grand Sport
หากยังงงกรุณากลับไปอ่านข้อ 3 อีกครั้ง
แม้ว่าสินค้าในล็อตแรกรุ่น "MONEYSTRONG"
จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากแต่ทางคุณยอร์ช
ยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นที่จะคงราคาเดิมไว้
คือเส้นละ 1,806 บาท (ยังไม่รวมภาษามูลค่าเพิ่ม)
เพื่อแสดงเจตจำนงค์ในงานครั้งนี้ว่าเป็นการกุศลล้วน ๆ
จองด่วน สินค้ามีจำนวนจำกัด
หากสั่งซื้อภายใน 30 นาทีนี้ สินค้าทั้งหมดฟรีค่าจัดส่ง!!
PS. บก. อธิคม แห่ง adayweekly ออกมาตอบโต้บทสัมภาษณ์ของวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ( http://www.bangkokbiznews.com/jud/wan/20050603/news.php?news=column_17715963.html ) อย่างเผ็ดร้อน ดุเดือดแค่ไหน ติดตามได้ที่ http://www.bangkokbiznews.com/jud/wan/
PS2. บังเอิญเห็นในบอร์ด www.biscopemagazine.com ว่าหนังอะไรเอ่ยเวลาดูต้องใช้ผ้าอนามัย? เฉลยว่า Memento (มี – เม็น – โต้) อ่ะนะ คิดได้ไงเนี่ย อ้อ ท้าย ๆ มีคนถามอีกว่าแล้วถ้า Men in Black นี่ทำไงดี -_-"(ต้องหาหมอซะล่ะม้าง) ส่วนผมขอทิ้งท้ายว่า แล้วถ้า a few good men ล่ะ เป็นไง ไม่รู้อ่ะ บังเอิญไม่เคยมี
วันก่อนที่ลงเรื่องแบทแมนกับแบทเกิร์ลไม่ได้เป็นแฟนกัน
เกิดไอเดียว่าเรื่องเข้าใจผิดเหล่านี้มีหลายอย่างทีเดียว
และนึกขึ้นได้ว่าเคยได้เรื่องเหล่านี้มาจากหนังสือ "เรือนไทยจัง"
หนังสือของสถาปัตย์จุฬาที่ขายในงานละครเรื่อง "เจ็ดเซียนซามูไร"
ครึ้มอกครึ้มใจจึงได้คัดสรร รวมกับความเชื่อแปลก ๆ ของผมเอง
เอานำมาพิมพ์ใน blog วันนี้ให้อ่านกันเล่น ๆ
อ้อ หากใครคิดอะไรทำนองนี้ออก บอกกันบ้าง
และแอบให้เดาว่าความคิดไหนเป็นของผม
ความเชื่อแปลก ๆ ในวัยเด็ก
PS.Apple Music Store เปิดตัวที่ยุโรปและขายเพลงได้มากกว่า 50 ล้านเพลงแล้ว ยอดรวมทั่วโลกตอนนี้เป็น 430 ล้านเพลง และเชื่อว่าจะถึง 500 ล้านเพลงในไม่ช้า (ราคาจำหน่ายเพลงละ 0.99 ดอลล่าห์)
< ข้อความใน Blog วันนี้มีการเปิดเผยตอนจบของเรื่อง >
สิ่งที่ประทับใจ ความหม่นมืดแบบได้ใจ กับความสมจริงกว่าเรื่องอื่น
สิ่งที่ไม่ประทับใจ ฉากแอคชั่นที่ไม่รู้ว่าใครชกใคร กับ ความรู้สึกว่าเมื่อไหร่พี่จะเป็นแบทแมนซักทีคร้าบ
คะแนน 7.5 / 10
ถ้าโจทย์ในการสร้างตำนานบทที่ 5 ของ Batman ของ Christopher Noland เป็นความหม่นมืด ความสมจริง และเผยภาพลักษณ์ความเศร้าสร้อย ความขัดแย้ง ล่ะก็ โกเยอร์ซึ่งเป็นผู้เขียนบทก็ได้ทำหน้าที่ตัวเองได้ดียิ่ง
อย่างไรก็ดีโดยความรู้สึกแล้ว แม้จะมีบางส่วนที่ขัดอกขัดใจอยู่บ้าง แต่ก็มีส่วนดีส่วนอื่น ๆ ออกมากลบเสียหมด ขอยิงความรู้สึกต่อหนังออกมาเป็นข้อ ๆ แบบไม่เรียงลำดับเวลาดังนี้
1. ขอบคุณที่ชุดแบทแมนภาคนี้ไม่มีหัวนมแล้ว ภาคที่แล้วดูจั๊กกะจี้พิกล
2. กล้ามากที่ตัดเนื้อเรื่องขึ้นใหม่ ทั้ง ๆ ที่ Batman ภาคแรกของทิม เบอร์ตัน ออกบทให้พ่อแม่ของบรูซตายด้วยมือ โจ๊คเกอร์ ภาคนี้กลับเปลี่ยนใหม่กลายเป็นโจรกระจอก เออ ใจถึงดี (บางคนว่าภาคก่อนหน้ามันเละจนกู่ไม่กลับแล้ว)
3. ส่วนตัวแล้วชอบสถาปัตยกรรม"คนแบกตึก" แบบในภาคแรกภาคสองมากกว่า ยอมรับว่ามันแฟนตาซีเกินกว่าจะเข้ากับธีมของหนังภาคนี้ แต่มันชอบไปแล้วน่ะ ทำไงได้
4. รถพี่แบทภาคนี้สมจริงสะใจมาก คือ เห็นเลยว่ามันคู่ควรเพราะมันเป็นฮัมวี่ มันลุยแหลก
5. น่าเสียดายที่ฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่าถ่ายใกล้ไปหน่อย มันวูบ ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าใครถีบใคร โอเคคุณอาจอยากให้คล้าย ๆ แบบว่าผู้ร้ายล้มตายโดยไม่ทันรู้ตัว แต่คือผมเวียนหัวน่ะครับ
6. แบทแมนเป็นฮีโร่ที่เป็นคนธรรมดา ไม่มีพลังวิเศษแบบคนอื่น ขอบคุณที่เลือกศัตรูที่ไม่มีพลังวิเศษเช่นกันมาต่อกร
7. ชอบฉากจบที่สุดท้ายคนบ้าออกมาอาละวาดและหนีไปได้ จนกลายเป็นต้นเหตุของการเกิดผู้ร้ายรายต่อ ๆ ไป เพราะคนเหล่านี้นี่เองเป็นคนเพี้ยน ๆ ที่ได้รับยาจาก ScareCrow (ตามความเข้าใจของผมนะ ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร) โดยส่วนตัวคิดว่ามันตอบโจทย์ได้ครอบคลุม จบได้แบบคลี่คลาย
8. ฉากที่ฝาท่อระเบิดออกมาไล่หลังรถไฟลอยฟ้า เท่ห์สุด ๆ สูสีฉากสู้กันระหว่างสไปดี้ กับ ด็อกออคบนหอนาฬิกาเลยล่ะ
9. อัลเฟรดน่ารักดี
10. 2 ชม. 20 นาที (โดยประมาณ) หนังยาวจังเลย (ถึงว่าไม่สวมชุดซักที)
FUN FACTS
1.เรื่องนี้ได้รับการเปลี่ยนชื่อมา3ครั้งแล้วนั่นก็คือBatman 5,Batman: The FrighteningและBatman: Intimidation Game
2. Christian Bale (พระเอก)ถูกเรียกมา Cast เป็น Dr. Jonathan Crane/The Scarecrow ก่อนในตอนแรกแต่จับพลัดจับผลูได้เล่นเป็น Batman แทน
3. ก่อนหน้านี้ผกก.อย่างDavid FincherและClint Eastwoodเคยโดนทาบทามให้มากำกับ
4. ราส์อังกูล เป็นภาษาอารบิก แปลว่า ศรีษะปีศาจ
5. ในฉบับการ์ตูน ดร.เครนโดนเพื่อนรังแกแต่เด็ก จนกลายเป็นเด็กที่หมกมุ่นกับความกลัวและล้างแค้น จนกระทั่งเขาแต่งตัวเป็นหุ่นไล่กาควงปืนฆ่าแฟนเก่าและทำคู่เดทของเธอพิการ
6. มีแบทแมนภาคลับที่มั่วซั่วมาก ๆ แต่ก็เล่าเรื่องด้วยท่าทีจริงจังไม่แพ้กัน สร้างโดยแฟนพันธุ์แท้ ชื่อว่าBatman : Dead End (2003) ดูได้ที่ http://www.ifilm.com/ifilmdetail/2474406?htv=12 พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
7. ในการ์ตูนยุค 50 นักจิตวิทยา เฟรเดอริค เวอร์แธม บอกว่าแบทแมนกับโรบินมีสัมพันธ์แบบเกย์ เพราะทั้งคู่ใส่ชุดรัดรูปและโรบินสวมเสื้อผ้าสีสันจี๊ดจ๊าด "ให้ตายเถอะ โรบิน!!"
8. ในหนังแบทเกิร์ลไม่ได้เป็นแฟนแบทแมน
9. แบทแมนเป็นคนธรรมดาที่ต่อสู้โดยใช้สมอง + เงินมหาศาล (คล้ายกับแบทแม้วของเราในนครบางกอกซิตี้)
"เราจะใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปในตัวแบทแมน
เขาจะมีพละกำลังก็เพราะวิดพื้น
แล้วเขาเอาอาวุธทั้งหมดนั่นมาจากไหนน่ะเหรอ
ก็เพราะว่าเขาเป็นเศรษฐีพันล้าน
แล้วทำไมต้องใส่ไอ้ชุดบ้านนั่นน่ะเหรอ
ก็จะได้หลอกให้คนกลัวไง
เพราะจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้อยากสู้กับใครเท่าไหร่หรอก"
คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ ผู้กำกับ Batman Begins
<เนื้อหาต่อไปนี้มีบางส่วนที่เปิดเผยข้อมูลของเรื่อง Memento และ Insomnia>
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า ดูเป็นSound Track
เพราะฉะนั้นอย่าได้ถามว่าเสียงพี่ดอมหล่อแค่ไหน
งานนี้ต้องขอบอกก่อนว่าจะขอพูดถึง Noland ผู้กำกับเป็นหลัก จากงานกำกับเรื่องก่อนหน้าของเขาที่ผมได้ดู ตั้งแต่ Memento (2000) ซึ่งเป็นสุดยอด สุดยอดหนังทริลเลอร์ในสายตาผม หนังเล่าเรื่องแบบไม่เรียงลำดับเวลา แบบเดียวกับเรื่อง Pulp Fiction (Quentin Tarantino ผู้กำกับ Kill Bill) แต่ฮาร์ดคอร์กว่า ดูยากกว่า ซึ่งเวลานั้นหนังทำเงินได้ทะลุร้อยล้านที่อเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นหนังอินดี้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งปีไปโดยปริยาย แต่พี่ไทยส่ายหน้า เพราะหนังดูยากเกินไปหน่อย
หนังดำเนินเรื่องด้วยตัวเอกที่เป็นโรคความจำสั้น (อย่างที่ดอรี่เป็นใน Finding Nemo น่ะแหละ) เขาจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในเวลา 5 นาที ดังนั้นเค้าจึงพกกล้องโพลารอยด์สำหรับ"จำ"ทุกอย่างแทนเขา พร้อมโน้ตย่อลงบนรูปเพื่อช่วยจำ ส่วนเรื่องสำคัญอย่างการล้างแค้นให้กับภรรยา เขาจะสักไว้บนตัว เพื่อไม่ให้ลืมเรื่องดังกล่าว จี๊ดไหมล่ะ หนังดำเนินเรื่องตัดสลับระหว่างอดีตและปัจจุบัน โดยเรื่องในปัจจุบันเดินเรื่องถอยหลังไป และ อดีตเดินเรื่องไปข้างหน้า และมาบรรจบกันตรงกลาง พร้อมบทสรุปอันน่าตื่นตะลึงในตอนท้าย อย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวจะงงเกินไป สมมุติว่าเรื่องจริง ๆ ทั้งหมดเรียงลำดับกันแบบนี้
A B C D E F G H I J
จากนั้นหนังเปิดตัวด้วยฉาก A-B เป็นเวลาประมาณ 5 นาทีจากนั้นก็ตัดไปยังฉาก I-J เป็นเวลา ประมาณ 5 นาที ตัดกลับมาที่ B-C อีก 5 นาที แล้วก็เป็น H – I , C-D, G-H, D-E, F-G, จบด้วย E-F ซึ่งหนังทำเอาเรากลายเป็นคนความจำสั้นไปเลย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน I-J นั้นเราไม่สามารถรู้ต้นเหตุได้ว่าทำไมเป็นแบบนั้น จนกระทั่งเราต้องทนดู A-B ก่อน ตามด้วย H-I ถึงจะรู้ได้ แต่เราก็จะลืม I-J แล้ว
พูดง่าย ๆ อยากรู้ต้องดูเอง เชื่อว่าร้านเช่าอาจจะมี DVD ก็ได้ยินเพื่อนบอกว่ามีออกมา (ของเถื่อนนะครับ) ล่าสุดเห็นในตะกร้าลดแลกแจกแถมของร้าน Lion ราคาไม่เกิน 50 บาท รับรองคุ้มสุดคุ้ม ประสบการณ์แปลก ๆ จะเกิดกับคุณอย่างแน่นอน
หลังจากนั้น Insomnia (2002) ในสองปีต่อมา หนังทริลเลอร์ (อีกแล้ว) ว่าด้วยเรื่องประเทศที่พระอาทิตย์ตกเที่ยงคืนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีกลางคืน ตัวเอกพลาดยิงเพื่อนร่วมงานและต้องทนทุกข์กับความเครียดแบบแสนสาหัสจนไม่สามารถนอนหลับได้ แสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่ไม่เคยหยุดงานก็รบกวนจนต้องลุ้นกันว่าตัวเอกจะทำยังไงกับปัญหาอันยุ่งเหยิงนี้ให้ได้ หนังมาในโทนฟิล์มนัวพร้อมกับความกดดันแบบหนัก ๆ ให้คนดูรู้สึกอึดอัดเช่นเคย แม้ว่าจะไม่เหนือชั้นอย่าง memento แต่ก็ถือว่าคุมโทนหนังได้เยี่ยม
การรู้ว่าใครกำกับ และเคยดูหนังที่ผู้กำกับเคยกำกับมาก่อนจะช่วยให้เรารู้ว่าเราจะเจอกับอะไร พอมีข่าวว่า noland จะกำกับ Batman นี่ทำผมกรี๊ดสลบ เพราะว่าผู้กำกับโคตรอินดี้ จะจับหนังฟอร์มโต ซึ่งเชื่อว่าคงไม่ทำให้ผิดหวัง ซึ่งหลังจากออกจากโรงก็พบว่าหนังออกมาถูกใจทีเดียว และคิดว่าหากใครอยากจะดูฉากแอคชั่นมันสลบ บู๊ล้างผลาญแบบ X-Men หรือ Spiderman 1 ล่ะก็อาจผิดหวังได้เนื่องจาก Batman คราวนี้มาแบบหม่นมืดและสมจริงเอาเสียมาก ๆ
ตอนหน้าพบกับความรู้สึกของผมต่อ Batman Begins
PS วงศ์ทนงออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องการปิดตัวของ adayweekly แล้ว ติดตามอ่านได้ที่ http://www.bangkokbiznews.com/jud/wan/
ก่อนจะเล่าเรื่องนี้ต้องขออนุญาตปูพื้นฐานความเข้าใจ
เกี่ยวกับอาชีพทำมาหากินของกระผมก่อน
ที่บ้านเปิดร้านขายของ พวกเครื่องเขียน
เครื่องใช้สำนักงาน ขายให้กับหน่วยราชการ
โรงเรียน ร้านค้า โดยมีบริการส่งถึงที่
เปิดสัปดาห์ละ 6 วัน (หยุดวันอาทิตย์)
เริ่มตั้งแต่ 08.00 – 17.30 น.นะครับ
ถ้าใครอยู่อุบลฯอยากอุดหนุนก็ยินดี (แฮ่ม!)
คราวนี้เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณปีที่แล้ว
ผมเล่นเน็ตจนดึกในคืนวันเสาร์
ตอนนั้นน่าจะประมาณ ตี 2 ครึ่งเห็นจะได้
โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
สำนักงานกับบ้านใช้โทรศัพท์เบอร์เดียวกัน
อยู่คนเดียวในทีแรกก็เสียวสันหลังวาบ
ใครกัน…. โทรมาตอนตี 2
ดังอยู่ 3-4 ทีก็จำใจรับ เพราะไม่อยากให้คนที่บ้านตื่น
ยอร์ช : สวัสดีครับ
พี่มั่ว : ซาหวาดดีค้าบ ล้ำฟ้า หรือเปล่าค้าบ
ยอร์ช : ครับใช่ครับ
พี่มั่ว : สั่งของหน่อยคร้าบบบบ…. (เสียงหวานยืดยาวหยดย้อยมาก
แถมด้วยเสียง ถึ่ง ๆ ปะโล้โป้งถึ่ง และเคาะโต๊ะแคะขวดเป็นแบ็คกราวน์ )
ยอร์ช : เอ่อ คือพี่ครับ ตอนนี้ร้านปิดแล้วนะครับ ปกติร้านเปิด 8 โมงเช้าถึง 5 โมงครึ่ง
ยังไงรบกวนพี่ติดต่อมาใหม่เช้าวันจันทร์นะครับ
(พยายามอดกลั้นด้วยความเป็นนักขายที่ดี)
พี่มั่ว : เหรอ อ้าวนี่ไม่ได้เปิด 24 ชม. แบบเซเว่นหรอกเหรอ
(พร้อมเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ในวงแทรกเข้ามาในโทรศัพท์)
ยอร์ช : -"- เปล่าครับ ไม่ได้เปิด 24 ชม.ครับ
พี่มั่ว : เหรอ ๆ งั้นก็แค่นี้แหละ แหม สั่งของแค่นี้ก็ไม่ได้
ยอร์ช : งั้นสวัสดีนะครับ (เซเว่นก็ไม่รับออเดอร์ทางโทรศัพท์นะเฟ้ย)
พี่มั่ว : อืม อืม ปายล่ะ
ยอร์ช : แกร็ก (วางหูพร้อมกับได้ยินเสียงเฮ ตามมาในสาย)
ก็ได้แต่นั่งขำ ๆ กับตัวเอง
เออ … แบบนี้ก็มีแฮะ
PS. ขอลาพักร้อน 3 วัน วันอังคารจะมา up ใหม่ โปรดติดตาม
หลุดอีกได้บ่
อึ้งไปเลยตอนที่เจอชาวต่างประเทศอ้ายน้องของไทยเราเอง
พูดตอนที่มาซื้อของที่ร้าน ตอนแรกเข้าใจว่าคงฟังผิดไป
สุดท้ายยิงมาบ่อย ๆ เข้าก็เออ เค้าพูดว่า"หลุด"จริง ๆ นะ
ไม่ได้พูดว่าลดอย่างที่เรา ๆ เข้าใจกัน
ปรากฏสืบทราบว่าในภาษาลาวเนี่ย เวลาต่อราคา
เค้าจะใช้คำว่า หลุด หมายถึงหลุดจากราคาเดิมว่างั้น
ฟัง ๆ ดูก็น่ารักดีนะครับ มาคิด ๆ ดูก็อีกหลายคำเชียว
อย่างถ้าตากผ้าอยู่ระเบียงชั้น 2 พอฝนตก
"ไปกู้ผ้าล่ะบ่หา" (ไปเก็บผ้ารึยังหือ)
หรืออย่างถ้าดูว่ารถถอยจะชนหรือเปล่าอยู่ล่ะก็
"หวิด ๆ ไปได้อีก " (แปลว่าไม่ชน ๆ ไปได้อีก)
อารมณ์ประมาณว่ารอดอย่างหวุดหวิดประมาณนี้
(คำนี้ชาวอิสาณก็ใช้นะครับ)
ถ้าคุณจะไปว่ายน้ำล่ะก็ ต้องบอกว่า
"ไปลอยน้ำ" ขืนไปพูดไหว้น้ำล่ะก็ คนลาวหัวเราะตายเลย
เพราะภาษาเค้าไม่มีคำว่า "ว่าย"
ข้าวของเรียกว่า" เครื่อง"
อย่างเคยมีคนเข้าใจผิด เพราะว่าคนลาวบอกว่า"มาขึ้นเครื่อง"
คือเขาหมายความว่าจะเอาข้าวของขึ้นรถ
พี่ไทย ว่า แกจะขึ้นเครื่องบินไปกรุงเทพฯซะงั้น
หรือถ้าเข้าไปแล้วกระดาษเต็มห้องไปหมด
"โอย มองไปทางได๋ก็เห็นแต่เจี้ย นั่นก็เจี้ย นี่ก็เจี้ย"
ครับ เจี้ย หมายถึง กระดาษในภาษาลาวแบบ original
ไม่ใช่เป็นคำที่เพี้ยนเสียงจากสัตว์เลื้อยคลานแบบบ้านเรา
อย่างไรก็ดีถ้าไม่อยากให้เจี้ยกระเด็นใส่หน้าก็ขอแนะนำ
ให้เวลานั้นยืนห่างจากกองกระดาษซักหน่อยนะครับ
หรืออย่างคุณจะไปขึ้นเรือเพื่อข้ามฟาก
"ได้ปี้ล่ะบ่" แปลว่า "ได้ตั๋วเรือแล้วหรือยัง"
ไม่ได้หมายถึงว่า ……. ตู้ด ………… อย่างภาษาไทยนะครับ
-_-" นี่คือความน่าเอ็นดูของการที่ต่างภาษาก็แบบนี้แหละ
แถม ภาษาลาววันละหลายคำ
ห้องคลอด = ห้องประสูติ
ห้องผ่าตัด = ห้องปาด
ห้อง ICU = ห้องมรสุม
กระดาษทิชชู = เยื่ออนามัย
หมวกกันน๊อค = หมวกกันกระทบ
น้ำแข็ง = น้ำก้อน
แก้ว = จอก
ขวด = แก้ว
(ดังนั้นถ้าคุณขอน้ำเปล่า 2 แก้ว คุณจะได้น้ำเปล่า 2 ขวดแทน)
ชนแก้ว = ตำจอก
ไฟแดง = ไฟอำนาจ
ไฟเขียว = ไฟเสรี
ไฟเหลือง = ไฟเตรียมเบิ้ล (อันนี้ไม่แน่ใจ)
แบดมินตัน = กีลาดอกปีกไก่
ถ่ายรูป = แหกตา
ถ่ายรูปหมู่ = แหกตาสามัคคี
กระทรวงต่างประเทศ = กระทรวงพัวพัน
PS. วันนี้คุณตำจอกหรือยัง
PS2. ขอขอบคุณภาพจาก kkdp.com
เรื่องมันมีอยู่ว่า
หนังเรื่องเหมือนแร่มันไม่ค่อยจะได้ตังค์
คราวนี้ก็เริ่มเกิดกระแสเชียร์กันขึ้น
โดยเฉพาะใน webboard ของ Pantip
ลองเปิดดูนะครับ เยอะมาก ๆ
คราวนี้หลายคนก็คาดหวังกันว่ากรณีนี้จะเหมือน
ครั้งที่เกิดขึ้นกับ โหมโรง
ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า คนที่ดูหนังเรื่องนี้
แล้วเกิดความรู้สึกเฉย ๆ หรือไม่ประทับใจก็เยอะพอดู
มันไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันแบบกรณีโหมโรง
จนเกิดความคิดแตกต่อได้ว่า
"แล้วคนที่เข้ามาเชียร์และหวังจะเกิด
การกลับมาฟื้นคืนชีพของเหมืองแร่แบบโหมโรงนี้
เป็นคนที่มีผลประโยชน์ร่วมหรือเปล่า"
พูดง่าย ๆ คือ จ้างมาโปรโมตในเน็ต
โดยลอกเลียนโมเดลที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับโหมโรง
(แต่ของโหมโรงนี่เข้าใจว่าไม่ได้เกิดจากแผนการตลาดนะครับ
เพราะทุกคนที่รู้จักนี่ชอบกันหมด)
แต่สิ่งที่อยากจะเล่าในครั้งนี้คือ บังเอิญผมไปอ่านเจอกระทู้หนึ่ง
ใน www.bioscopemagazine.com มีคนมาโพสต์
บอกประมาณว่าตอนนี้ภาวะของเหมือนแร่อยู่ในภาวะดิ้นรน
ในเน็ตปรากฏว่ามีแต่หน้าม้ามาเชียร์ (ซึ่งก็ประเด็นเดิมคือจ้างมาหรือเปล่า)
รำคาญการเชิญดีเจ ดารามาเชียร์กันออกหน้าออกตา
หนังสือหนังบางเล่มก็เชียร์กันจนเว่อร์
และสุดท้ายก็พาดประเด็นไปยังคอลัมนิสต์หนังสือ Bio ว่า
คุณรู้สึกขัดใจอย่างผมหรือเปล่า?
สิ่งที่ประทับใจผมคือ คุณเต้ (คอลัมนิสต์) ตอบอย่างนุ่มนวลว่า
เขาไม่รู้สึกขัดใจอะไรกับกระแสเหมืองแร่ที่เกิดขึ้น
เขารู้สึกปกติมาก ก็ในเมื่อหนังที่ออกมามันไม่ได้เงิน
ทางบริษัทก็ต้องโปรโมทมากขึ้น ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เจ๊ง
ซึ่งคุณเต้มองว่าดีเสียอีกที่ทางต้นสังกัดไม่ได้ทิ้งหนังไป
ยังพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อให้หนังฟื้น
ส่วนเรื่องการออกมาเชียร์กันในส่วนเว็บบอร์ดนั้น
คุณเต้ว่าเขาไม่มีปัญหากับ "การเชียร์ให้คนไปดูหนังเรื่องนึง"
แต่เขาอาจมีปัญหากับ "การเชียร์ไม่ให้ไปดูหนังเรื่องนึง"
เช่นเขาไม่มีปัญหากับคำว่า เหมืองแร่ดีจัง , ดูแล้วซึ้งสุด ๆ
ว้า แย่มาก ๆ เลย บทไม่ดี ง่วงก็ง่วง ฯลฯ
แต่อาจมีปัญหากับคำว่า อย่าไปดูเหมืองแร่ , อย่าไปเสียค่าโง่ให้คนเล่นของ
อย่าไปดูเดอะเมียเลยค่ะ มันแย่มาก ๆ เชื่อดิฉันนะคะ โปรดเชื่อดิฉันนะคะ
(คุณสามารถอ่านกระทู้เต็มๆ ได้ที่นี่)
รู้สึกเหมือนผมไหมครับว่า "มันเป็นความเห็นของคนรักหนังอย่างแท้จริง"
มันไร้ซึ่งค่าย ไร้ซึ่งความลำเอียง มันเป็นความเห็นที่สมดุลมาก ๆ
เขามองทะลุไปจนถึงเจ้าของทุน ผู้กำกับ ทีมงาน และคนดู
คุณจะวิจารณ์อย่างไรก็ตาม รสนิยมก็ยังเป็นเรื่องส่วนบุคคลอยู่ดี
ภาพยนต์ก็หนีไม่พ้นความจริงข้อนี้
เคยได้ยินที่ใครกล่าวไว้ว่า "หนังที่ดีคือหนังที่เราชอบ"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาเอาเสียมาก ๆ
ที่ หนังที่เราชอบก็อาจไม่ได้เป็นหนังที่คนอื่นชอบ
ดังนั้นมันเหมาะกว่าที่คุณจะตอบเพื่อนว่า
"หนังเรื่องนี้ดีไม่ดีไม่รู้ แต่กูชอบว่ะ"
PS.ยังไม่ดูนะครับเรื่องเหมืองแร่ ส่วนตัวรู้สึกเฉย ๆ กับหนังเรื่อง 15 ค่ำ เลยพลอยเฉย ๆ ไปกับเหมืองแร่ด้วย